Web Blog การเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ในการฝึกทักษะเรียนรู้พื้นฐาน การจัดการความรู้ ทักษะภาษาดิจิตอล ทักษะการรู้คิดประดิษฐ์สร้าง ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่มีประสิทธิผล เพื่อพัฒนาไปสู่ทักษะความรู้ที่มุ่งหวังของหลักสูตร โรงเรียนมาตรฐานสากล 6 ประการ ประกอบด้วย (1) ทักษะการเรียนรู้ Learning Skills (2) ทักษะการคิด Thinking Skills (3) ทักษะการแก้ปัญหา Problerm Skills (4) ทักษะชีวิต Life Skills (5) ทักษะการใช้เทคโนโลยี Technology Skills (6) ทักษะการสื่อสาร Communication Skills โดยใช้ทฤษฎีระบบการเรียน KM (Knowlead Maneagement) ตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ Gooogle App For Education Thai และวิสัยทัศน์กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด (Word Class Standard)

โค้ดข่าวการศึกษาและข่าวบอกเล่า

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ชาวนากับงูเห่า


สัปดาห์ที่20วิถีชีวิตของชาวไทย

วิถีชีวิตของคนไทยสมัยต่าง ๆ
          วิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย  คือ  การเป็นสังคมเกษตรกรรมที่ทุกคนอาศัยอยู่รวมกันเป็นชุมชนในระดับครอบครัว  เป็นครอบครัวขยายที่มีคนหลายรุ่นอาศัยอยู่รวมกัน  คือ  รุ่นปู่ย่าตายาย  รุ่นพ่อแม่  รุ่นลูก  รุ่นหลาน  รวมทั้งมีญาติพี่น้องอาศัยอยู่ใกล้ชิดกัน โดยมีศูนย์กลางของชุมชน  คือ  ศาสนสถาน  เช่น  วัด  มัสยิด  ผู้ใหญ่ในชุมชน  เช่น  พระ  ผู้ใหญ่บ้าน  ผู้เฒ่าผู้แก่  ได้รับการนับถือและเป็นผู้ตัดสินความขัดแย้งในชุมชน  มีขนบธรรมเนียมประเพณี  การละเล่น  และความเชื่ออันเนื่องมาจากการเป็นสังคมเกษตรกรรม  จากการนับถือศาสนาและความเชื่อดั้งเดิมเรื่องการนับถือผีสางเทวดา
          เมื่อเวลาผ่านไป  สังคมมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น  ความคิด  ค่านิยม  อุดมการณ์  การเมืองการปกครอง  และบรรทัดฐานทางสังคม  ซึ่งมีผลให้วิถีชีวิตของคนไทยในสมัยต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน
         
          1.  วิถีชีวิตของคนไทยสมัยสุโขทัย
          วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยสมัยสุโขทัยสามารถสรุปออกเป็นด้าน ๆ ได้ดังนี้
                    1)  ด้านการเมืองการปกครอง  ในระยะแรกผู้ปกครองสุโขทัยมีความใกล้ชิดกับประชาชน  เปรียบเสมือนกับพ่อปกครองลูก  ต่อมาผู้ปกครองได้นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในการปกครอง  ทำให้ผู้ปกครองทรงเป็นธรรมราชา  ปกครองโดยทศพิธราชธรรม
                    2)  ด้านเศรษฐกิจ  ชาวสุโขทัยมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ  อาชีพที่ทำ  เช่น  เกษตรกรรม  หัตถกรรม  ค้าขาย  มีการใช้เงินพดด้วงและเบี้ยเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
                    3)  ด้านสังคมและวัฒนธรรม  สังคมในสมัยสุโขทัยมีขนาดไม่ใหญ่มาก  สังคมไม่ซับซ้อนเพราะประชากรมีจำนวนน้อย  ชนชั้นในสังคมแบ่งออกเป็นชนชั้นผู้ปกครอง  ได้แก่  พระมหากษัตริย์  ขุนนางและผู้ถูกปกครอง  ได้แก่  ราษฎร  ทาส  และพระสงฆ์  ชาวสุโขทัยมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก  ดังจะเห็นได้จากการฟังธรรมในวันพระ  มีการสร้างวัด  พระพุทธรูปจำนวนมาก  และมีการแต่งวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา  คือ  ไตรภูมิพระร่วง
          2.  วิถีชีวิตของคนไทยสมัยอยุธยา  ธนบุรี  และรัตนโกสินทร์ตอนต้น          วิถีชีวิตของคนไทยในสามช่วงเวลานี้กล่าวได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันและไม่มี ความแตกต่างกันมากนัก  การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทยที่เห็นได้ชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อมีการปรับ ปรุงประเทศให้ทันสมัยตามแบบตะวันตกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา
          สำหรับวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยอยุธยา  ธนบุรี  และรัตนโกสินทร์ตอนต้นสรุปได้ดังนี้
                    1)  ด้านการเมืองการปกครอง  ในสมัยอยุธยาได้รับคติการปกครองแบบสมมติเทพมาจากเขมรที่ผู้ปกครองเปรียบดัง เทพเจ้า  จึงมีข้อปฏิบัติตามกฏมณเฑียรบาลที่ทำให้ผู้ปกครองมีความแตกต่างจากประชาชน  เช่น  การใช้ราชาศัพท์  การมีพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา  เป็นต้น  ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับราษฎรจึงห่างเหินกัน  อย่างไรก็ตาม  ผู้ปกครองก็เป็นธรรมราชาด้วยเช่นกัน  สำหรับประชาชนถูกควบคุมด้วยระบบไพร่  ต้องถูกเกณฑ์แรงงานให้กับทางราชการ
                    2)  ด้านเศรษฐกิจ  เป็นระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองและยังชีพอยู่ได้  ราษฎรสามารถผลิตสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันใช้เองในครัวเรือน  การค้าขยายตัวไม่มากเพราะถูกผูกขาดโดยพระคลังสินค้า  สินค้าของตะวันตกส่วนใหญ่ขายได้เฉพาะสินค้าบางประเภท  เช่น  อาวุธปืน  กระสุนปืน  และสินค้าฟุ่มเฟือยที่ใช้ในราชสำนักหรือสำหรับกลุ่มที่มีฐานะ  การติดต่อค้าขายกับภายนอกมากขึ้น  ทำให้มีการจัดระเบียบหน่วยงานต่าง ๆ ชัดเจน  เช่น  มีกรมท่าและพระคลังสินค้าดูแลการติดต่อและการค้ากับต่างประเทศ  การจัดระบบภาษีอาการและระบบเงินตรา
                    3)  ด้านสังคมและวัฒนธรรม  จากการติดต่อกับชุมชนภายนอก  ไม่ว่าทางการค้า  การทำสงคราม  รวมถึงมีชาวต่างชาติเข้ามารับราชการในราชสำนัก  ทำให้สังคมไทยสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมประเพณีจากเขมร  อินเดีย  มอญ  จีน ญี่ปุ่น  เปอร์เซีย  อาหรับ  ยุโรป  เช่น  การกำหนดชนชั้นของคนในสังคม  กฎหมาย  ประเพณี  พระราชพิธีและธรรมเนียมในราชสำนัก  วิถีการดำเนินชีวิตต่าง ๆ เช่น  การดื่มชา  การใช้เครื่องถ้วยชาม  เครื่องเคลือบ  การปรุงอาหาร  และขนมหวาน
                    สำหรับพระพุทธศาสนายังคงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยนี้เช่นเดียว กับสมัยสุโขทัย  โดยประชาชนมีประเพณีในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา  เช่น  การเกิด  การอุปสมบท  การแต่งงาน  การตาย  และประเพณีเกี่ยวกับสังคมเกษตรกรรม  เช่น  การทำขวัญแม่โพสพ  ส่วนผู้ที่นับถือศาสนาอื่นก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคม  ดังจะเห็นได้จากการมีการมัสยิดและโบสถ์คริสต์  ทั้งที่กรุงศรีอยุธยา  กรุงธนบุรีและกรุงเทพมหานคร  และยังมีการสร้างสรรค์งานศิลปกรรม  วรรณกรรม ประเพณี  เพื่อความสำคัญของพระพุทธศาสนาและความเป็นสมมติเทพของพระมหากษัตริย์
         
          3.  วิถีชีวิตของคนไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปรับปรุงประเทศถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475          ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา  สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นอย่างมากจากการรับ วัฒนธรรมของชาติตะวันตก  สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงเกิดจากการที่ไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับประเทศ อังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2398  และทำสนธิสัญญากับชาติตะวันตกอื่น ๆ ทำให้มีการติดต่อกับชาติตะวันตกมากขึ้น  ผู้นำการเปลี่ยนแปลงในระยะแรก  ได้แก่  ผู้ปกครองและชนชั้นสูง  เช่น  เจ้านาย  ขุนนาง  ต่อมาชนชั้นกลางได้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทย
                    1)  ด้านการเมืองการปกครอง  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใกล้ชิดกับราษฎรมากขึ้น  เช่น  เสด็จประพาสหัวเมืองบ่อยครั้ง  อนุญาตให้ราษฎรเข้าเฝ้า ฯ  ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินได้  ให้ราษฎรมองพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดินและถวายฎีกาแก่พระองค์ได้โดยตรง  ตลอดจนมีการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน  แบ่งงานออกเป็นกระทรวง  กรม  ทำให้การฝึกคนเข้ารับราชการมากขึ้น
                    2)  ด้านเศรษฐกิจ  ข้าวกลายเป็นสินค้าออกอันดับหนึ่งของไทย  มีการบุกเบิกที่ดินเพื่อใช้ปลูกข้าว  เช่น  บริเวณรังสิต  ปรับปรุงระบบชลประทาน  การขุดคูคลอง  และการตั้งโรงสีข้าว  โดยชาวจีนเป็นผู้ค้าข้าวในประเทศและเป็นเจ้าของโรงสี  ส่วนชาวยุโรปเป็นผู้ส่งออก
                    ต่อมาไทยผลิตสินค้าออกที่มีความสำคัญอีก 3 ประการ  คือ  ดีบุก  ไม้สัก  และยางพารา  การเติบโตของการส่งออกดีบุก  ทำให้มีชาวจีนอพยพเข้ามาเป็นแรงงานและอาศัยอยู่ทางภาคใต้ของไทยมากขึ้น  เช่น  ที่ภูเก็ต
                    การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจทำให้การค้าขยายไปทั่วประเทศ  เมืองขยายตัว  เกิดการพัฒนาเส้นทางคมนาคม  พ่อค้าเร่ชาวจีนบรรทุกสินค้าไปขายยังหัวเมืองต่าง ๆ ส่งผลให้ชาวจีนอพยพจากรุงเทพมหานครไปอาศัยอยู่ตามชุมชนเมืองในหัวเมือง  ซึ่งพัฒนาเป็นชุมชนการค้าของเมืองนั้น ๆ และตั้งรกรากมาจนถึงปัจจุบัน
                    3)  ด้านสังคมและวัฒนธรรม  วิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนไปอันเนื่องมาจากการปรับปรุงประเทศให้เข้าสู่ความ ทันสมัยแบบตะวันตก  เช่น  ราษฎรไทยได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสและไพร่  มีอิสรเสรีในการประกอบอาชีพ  ได้รับการรักษาโรคด้วยวิชาการแพทย์แผนใหม่  สามัญชนมีโอกาสได้เล่าเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย  เข้าทำงานในกระทรวงต่าง ๆ อ่านหนังสือพิมพ์  ใช้รถไฟ  รถยนต์  ไปรษณีย์โทรเลข  โทรศัพท์  ไฟฟ้า  น้ำประปา  มีถนนหนทางใหม่ ๆ เพื่อใช้เดินทาง  ทำให้ชีวิตของคนไทยสะดวกสบายมากขึ้น
                    นอกจากนี้  ชาวไทยทั้งหญิงและชายเริ่มแต่งกายให้เป็นแบบสากลนิยม  รับประทานกาแฟ  นม  ขนมปัง  เป็นอาหารเช้าแทนข้าว  ใช้ช้อนส้อม  นั่งโต๊ะเก้าอี้  มีโอกาสเดินทางไปศึกษาที่ต่างประเทศ  รู้จักเล่นกีฬาแบบตะวันตก  สร้างพระราชวัง สร้างบ้านแบบตะวันตก  นิยมมีบ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด  ในสมัยรัชกาลที่ 6  คนไทยเริ่มมีคำนำหน้าชื่อบุรุษ  สตรี  เด็ก  เป็นนาย  นางสาว  นาง  เด็กชาย  เด็กหญิง  ตามลำดับ  มีนามสกุลเป็นของตัวเอง  ผู้หญิงเริ่มไว้ผมยาวและนุ่งผ้าซิ่น  มีการใช้ธงไตรรงค์เป็นธงประจำชาติไทย  เป็นต้น
          4.  วิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน          การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475  มีผลต่อวิถีชีวิตของคนไทยในด้านต่าง ๆ หลายประการ  ดังนี้
                    1)  ด้านการเมืองการปกครอง  ในสมัย พ.ศ. 2475  มีการเปลี่ยนแปลงระบอบใน พ.ศ. 2475  มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย  เกิดองค์กรการเมืองต่าง ๆ เช่น  พรรคการเมือง  คณะรัฐมนตรี  รัฐสภา  ประชาชนมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง  มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง  แต่บางสมัยถูกปกครองโดยเผด็จการที่ยกเลิกรัฐธรรมนูญ  มีการควบคุมสิทธิทางการเมืองของประชาชน
                    2)  ด้านเศรษฐกิจ  ตั้งแต่ พ.ศ. 2504  มีการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทยหลายอย่าง  เช่น  เกิดโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก  คนในชนบทอพยพมาทำงานโรงงานมากขึ้น  เกิดปัญหาความยากจนและช่องว่างทางเศรษฐกิจระกว่างภาคเกษตรกรรมกับอุตสาหกรรม
                    ในทศวรรษ 2530  รัฐบาลมุ่งพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่  แต่เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจใน พ.ศ. 2540  ทำให้ธุรกิจจำนวนมากล้มละลาย  คนตกงานจำนวนมาก  รัฐบาลได้ส่งเสริมให้ประชาชนดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อลดความ ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย
                    3)  ด้านสังคมและวัฒนธรรม  สามารถแบ่งได้เป็นช่วง ๆ ดังนี้
                              3.1)  สมัยการสร้างชาติ  ตรงกับสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามสมัยแรก (พ.ศ. 2481 - 2487)  ได้สร้างกระแสชาตินิยมและความเป็นไทยด้วยการออกรัฐนิยมหลายฉบับ  เช่น  เปลี่ยนชื่อประเทศ  ชื่อสัญชาติ  ชื่อคนสยาม  เป็นประเทศไทย  สัญชาติไทย  คนไทย  มีการยกเลิกบรรดาศักดิ์และยศข้าราชการพลเรือน  ทั้งหญิงและชายต้องสวมรองเท้า  สวมหมวก  ห้ามรับประทานหมากพลู  ต้องใช้คำสรรพนามแทนตนเองว่า  "ฉัน"  และเรียกคนที่พูดด้วยว่า  "ท่าน"  เป็นต้น  แต่ภายหลังวัฒนธรรมเหล่านี้ก็ถูกยกเลิกไป
                              3.2)  สมัยการฟื้นฟูพระราชประเพณี  ตรงกับสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  (พ.ศ. 2501 - 2506)  ในสมัยนี้มีการฟื้นฟูความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์  และฟื้นฟูพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น  เปลี่ยนวันชาติจากวันที่ 24  มิถุนายน ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย  มาเป็นวันที่ 5 ธันวาคม  ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา  จัดให้มีพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างยิ่งใหญ่  จัดงานพระราชพิธีวันฉัตรมงคล  และมีพิธีต่าง ๆ ที่ให้ความสำคัญแก่สถาบันพระมหากษัตริย์  เช่น  พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์  พิธีที่ทำคุณประโยชน์ด้านต่าง ๆ ฟื้นฟูพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทาง ชลมารค  สนับสนุนการเสด็จพระราชดำเนินไปยังต่างจังหวัดในท้องถิ่นทุรกันดารทั่ว ประเทศ  มีการสร้างพระตำหนักในภูมิภาคต่าง ๆ ส่งเสริมโครงการหลวง  โครงการพระราชดำริต่าง ๆ ออกข่าวพระราชสำนักผ่านโทรทัศน์และวิทยุเป็นประจำทุกวัน  จะเห็นว่าการฟื้นฟูพระราชพิธี  การสร้างธรรมเนียมต่าง ๆ เกี่ยวกับราชสำนักในสมัยจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ได้สืบทอดมาถึงปัจจุบัน
                              3.3)  สมัยการฟื้นฟูวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว  ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์  ได้ตั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (อ.ส.ท.)  ปัจจุบันคือ  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  องค์กรนี้ได้เข้าไปส่งเสริม  ฟื้นฟู  และสร้างขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นในที่ต่าง ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว  ทำให้ขนบธรรมเนียมประเพณีหลายอย่างได้รับการฟื้นฟูสืบทอด  และประเพณีบางอย่างได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่  เช่น  การจัดงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย  เป็นต้น
                              3.4)  สมัยการพัฒนาทางเศรษฐกิจถึงปัจจุบัน  สมัยนี้ได้มีการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1  เมื่อ พ.ศ. 2504  ทำให้วิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงอย่างมาก  โดยเกิดจากหลายปัจจัย  เช่น  การพัฒนาทางการศึกษา  ทำให้อัตราผู้รู้หนังสือมากขึ้น  จำนวนผู้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยและจำนวนมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น  คนไทยนิยมไปเรียนต่อต่างประเทศมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ประกอบกับในช่วงนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา  ทำให้วัฒนธรรมตะวันตกแพร่ขยายเข้ามาในสังคมไทยมากขึ้น
                              ในด้านครอบครัว  ครอบครัวมีขนาดเล็ก  โดยมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว  สังคมแบบเครือญาติหรือสังคมชนบทของไทยเปลี่ยนไป  วางแผนครอบครัวและความเจริญทางการแพทย์  ทำให้ประชากรวัยสูงอายุมีจำนวนมากขึ้น  ขณะที่ประชากรวัยเด็กลดลงความสัมพันธ์แบบเครือญาติลดลง  ผู้หญิงไทยออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น  และเกิดปัญหาสังคมต่าง ๆ ตามมา  เช่น  ปัญหาเด็กเร่ร่อน  ปัญหาสิ่งเสพติด  ปัญหาอาชญากรรม  เป็นต้น

สัปดาห์ที่19กฎบัตรอาเซียน

กฎบัตรอาเซียน (ASEAN CHARTER) หรือธรรมนูญอาเซียน

กฎบัตรอาเซียน เปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญของอาเซียนที่จะทำให้อาเซียนมีสถานะเป็นนิติบุคคล เป็นการวางกรอบทางกฎหมายและโครงสร้างองค์กรให้กับอาเซียน โดยนอกจากจะประมวลสิ่งที่ถือเป็นค่านิยม หลักการ และแนวปฏิบัติในอดีตของอาเซียนมาประกอบกันเป็นข้อปฏิบัติอย่างเป็นทางการของประเทศสมาชิกแล้ว ยังมีการปรับปรุงแก้ไขและสร้างกลไกใหม่ขึ้น พร้อมกำหนดขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบขององค์กรที่สำคัญในอาเชียนตลอดจนความสัมพันธ์ในการดำเนินงานขององค์กรเหล่านี้ ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียนให้สามารถดำเนินการบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนการรวมตัวของประชาคมอาเซียน ให้ได้ภายในปี พ.ศ.2558 ตามที่ผู้นำอาเซียนได้ตกลงกันไว้
ทั้งนี้ผู้นำอาเซียนได้ลงนามรับรองกฎบัตรอาเซียน ในการประชุมสุดยอดยอดเซียน ครั้งที่ 13เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550 ณ ประเทศสิงคโปร์ ในโอกาสครบรอบ 40 ของการก่อตั้งอาเซียน แสดงให้เห็นว่าอาเซียนกำลังแสดงให้ประชาคมโลกได้เห็นถึงความก้าวหน้าของอาเซียนที่กำลังจะก้าวเดินไปด้วยกันอย่างมั่นใจระหว่างประเทศสมาชิกต่าง ๆ ทั้ง 10 ประเทศ และถือเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญที่จะปรับเปลี่ยนอาเซียนให้เป็นองค์กรที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลในฐานะที่เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาล ประเทศสมาชิกได้ให้สัตยาบันกฎบัตรอาเซียน ครบทั้ง 10 ประเทศแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน2551 กฎบัตรอาเซียนจึงมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2551 เป็นต้นไป

วัตถุประสงค์ของกฎบัตรอาเซียน
วัตถุประสงค์อของกฎบัตรอาเซียน คือ ทำให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีประสิทธิกาพ มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเคารพกฎกติกาในการทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ กฎบัตรอาเซียนจะให้สถานะนิติบุคคลแก่อาเซียนเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาล (intergovernmental organization)
โครงสร้างและสาระสำคัญของกฎบัตรอาเซียน
กฏบัตรอาเชียน ประกอบด้วยบทบัญญัติ 13 หมวด 55 ข้อ ได้แก่
หมวดที่ 1 ความมุ่งประสงค์และหลักการของอาเซียน
หมวดที่ 2 สภาพบุคคลตามกฏหมายของอาเชียน
หมวดที่ 3 สมาชิกภาพ (รัฐสมาชิก สิทธิและพันธกรณีของรัฐสมาชิก และการรับสมาชิกใหม่
หมวดที่ 4 โครงสร้างองค์กรของอาเซียน
หมวดที่ 5 องค์กรที่มีความสัมพันธ์กับอาเซียน
หมวดที่ 6 การคุ้มกันและเอกสิทธิ์
หมวดที่ 7 กระบวนการตัดสินใจ
หมวดที่ 8 การระงับข้อพิพาท
หมวดที่ 9 งบประมาณและการเงิน
หมวดที่ 10 การบริหารและขั้นตอนการดำเนินงาน
หมวดที่ 11 อัตลักษณ์และสัญลักษณ์ของอาเซียน
หมวดที่ 12 ความสัมพันธ์กับภายนอก
หมวดที่ 13 บทบัญญัติทั่วไปและบทบัญญัติสุดท้าย
กฎบัตรอาเชียนช่วยให้อาเซียนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เสริมสร้างกลไกการติดตามความตกลงต่างๆ ให้มีผลเป็นรูปธรรม และผลักดันอาเซียนให้เป็นประชาคมเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
กฎบัตรอาเชียนช่วยให้อาเซียนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร มีข้อกำหนดใหม่ๆ ที่ช่วยปรับปรุงโครงสร้างการทำงานและกลไกต่างๆ ของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มความยืดหยุ่นในการแก้ไขปัญหา เช่น
1. กำหนดให้เพิ่มการประชุมสุดยอดอาเซียนจากเดิมปีละ 1 ครั้ง เป็นปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้ผู้นำมีโอกาสหารือกันมากขึ้น พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงเจตจำนงทางการเมืองที่จะผลักดันอาเซียนไปสู่การรวมตัวกันเป็นประชาคมในอนาคต
2. มีการตั้งคณะมนตรีประจำประชาคมอาเซียนตามเสาหลักทั้ง 3 ด้าน คือ การเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
3. กำหนดให้ประเทศสมาชิกแต่งตั้งเอกอัคราชฑูตประจำอาเซียนไปประจำที่กรุงจาการ์ตา ซึ่งไม่เพียงแต่จะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจแนวแน่ของอาเซียนที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อมุ่งไปสู่การรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียนในอนาคต และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปร่วมประชุมและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานระหว่างประเทศสมาชิก
4. หากประเทศสมาชิกไม่สามารถตกลงกันได้โดยหลักฉันทามติ ให้ใช้การตัดสินใจรูปแบบอื่นๆ ได้ตามที่ผู้นำกำหนด
5. เพิ่มความยืดหยุ่นในการตีความหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน โดยมีข้อกำหนดว่าหากเกิดปัญหาที่กระทบต่อผลประโยชน์ส่วนร่วมของอาเซียน หรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ประเทศสมาชิกต้องหารือกันเพื่อแก้ปัญหา และกำหนดให้ประธานอาเซียนเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

กฎบัตรอาเซียนจะเสริมสร้างกลไกการติดตามความตกลงต่างๆ ให้มีผลเป็นรูปธรรมได้อย่างไร
กฎบัตรอาเซียนสร้างกลไกตรวจสอบและติดตามการดำเนินการตามความตกลงต่างๆ ของประเทศสมาชิกในหลากหลายรูปแบบ เช่น
1. ให้อำนาจเลขาธิการอาเซียนดูแลการปฏิบัติตามพันธกรณีและคำตัดสินขององค์กรระงับข้อพิพาท
2. หากการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงต่างๆ ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างรัฐสมาชิกสามารถใช้กลไกและขั้นตอนระงับข้อพิพาททั้งที่มีอยู่แล้ว และที่จะตั้งขึ้นใหม่เพื่อแก้ไขข้อพิพาทที่เกิดขึ้นโดยสันติวิธี
3. หากมีการละเมิดพันธกรณีในกฎบัตรฯ อย่างร้ายแรง ผู้นำอาเซียนสามารถกำหนดมาตรการใดๆ ที่เหมาะสมว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อรัฐผู้ละเมิดพันธกรณีกฎบัตรอาเซียนช่วยให้อาเซียนเป็นประชาคมเพื่อประชาชนได้อย่างไรข้อบทต่างๆ ในกฎบัตรอาเซียนแสดงให้เห็นว่าอาเซียนกำลังผลักดันองค์กรให้เป็นประชาคมเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง จึงกำหนดให้การลดความยากจนและลดช่องว่างการพัฒนาเป็นเป้าหมายหนึ่งของอาเซียนกฎบัตรอาเซียนเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในอาเซียนผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับองค์กรต่างๆ ของอาเซียนมากขึ้น ทั้งยังกำหนดให้มีความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสมัชชารัฐสภาอาเซียน ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐสภาของประเทศสมาชิกกำหนดให้มีการจัดตั้งกลไกสิทธิมนุษยชนของอาเซียน เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

ความสำคัญของกฎบัตรอาเซียนต่อประเทศไทย
กฎบัตรอาเซียน ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามพันธกรณีต่างๆ ของประเทศสมาชิก ซึ่งจะช่วยสร้างเสริมหลักประกันให้กับไทยว่า จะสามารถได้รับผลประโยชน์ตามที่ตกลงกันไว้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากนี้ การปรับปรุงการดำเนินงานและโครงสร้างองค์กรของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการเสริมสร้างความร่วมมือในทั้ง 3 เสาหลักของประชาคมอาเซียนจะเป็นฐานสำคัญที่จะทำให้อาเซียนสามารถตอบสนองต่อความต้องการและผลประโยชน์ของรัฐสมาชิก รวมทั้งยกสถานะและอำนาจต่อรอง และภาพลักษณ์ของประเทศสมาชิกในเวทีระหว่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเอื้อให้ไทยสามารถผลักดันและได้รับผลประโยชน์ด้านต่างๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น
– อาเซียนขยายตลาดให้กับสินค้าไทยจากประชาชนไทย 60 ล้านคน เป็นประชาชนอาเซียนกว่า 550 ล้านคน ประกอบกับการขยายความร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เส้นทางคมนาคม ระบบไฟฟ้า โครงข่ายอินเตอร์เน็ต ฯลฯ จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้กับไทย
นอกจากนี้ อาเซียนยังเป็นทั้งแหล่งเงินทุนและเป้าหมายการลงทุนของไทย และไทยได้เปรียบประเทศสมาชิกอื่นๆ ที่มีที่ตั้งอยู่ใจกลางอาเซียน สามารถเป็นศูนย์กลางทางการคมนาคมและขนส่งของประชาคม ซึ่งมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ และบุคคล ระหว่างประเทศสมาชิกที่สะดวกขึ้น
– อาเซียนช่วยส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อเผชิญกับภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง เช่น SARs ไข้หวัดนก การค้ามนุษย์ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หมอกควัน ยาเสพติดปัญหาโลกร้อน และปัญหาความยากจน เป็นต้น
– อาเซียนจะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของไทยในเวทีโลก และเป็นเวทีที่ไทยสามารถใช้ในการผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาของเพื่อนบ้านที่กระทบมาถึงไทยด้วย เช่น ปัญหาพม่า ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์พหุภาคีในกรอบอาเซียนจะเกื้อหนุนความสัมพันธ์ของไทยในกรอบทวิภาคี เช่น ความร่วมมือกับมาเลเซียในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ด้วย


สัปดาห์ที่18 ข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียน

ประเทศอาเซียน
นับถอยอีกเพียง 3 ปี ประเทศไทยของเราก็จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแล้วนะคะสำหรับทางประเทศไทย ที่เป็น 1 ใน 5 ของประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน ในขณะนี้ทางหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ต่างก็พากันเตรียมความพร้อมเพื่อต้อนรับปีอาเซียนที่กำลังจะมาถึงนี้...

           เราในฐานะประชาชนชาวไทย ก็รับรู้ถึงความร่วมมือร่วมใจที่เตรียมตัวในการพัฒนาประเทศของเราเพื่อจับมือร่วมกับ 10  ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้สมาชิกทั้ง 10 ประเทศสามารถอยู่รวมกันได้อย่างเข็มแข็ง และมีมิตรภาพ พร้อมจูงมือกันก้าวสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน… ในวันนี้กระปุกดอทคอมก็ขอนำข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียน และประชาคมอาเซียน มาให้ได้ทราบกันว่า การรวมตัวกันของ 10 ประเทศอาเซียน จะนำพาเราไปสู่การพัฒนาอะไรบ้าง และต้นกำเนิดของอาเซียนมีประวัติความเป็นมาอย่างไร

 ประวัติการก่อตั้งอาเซียน

           อาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East AsianNations หรือ  ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ซึ่งได้มีการลงนามที่วังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสมาชิกก่อตั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และ ไทย ซึ่งผู้แทนทั้ง 5 ประเทศ ประกอบด้วย

            - นายอาดัม มาลิก (รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย)
           
            - นายตุน อับดุล ราชัก บิน ฮุสเซน (รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติมาเลเซีย)

            - นายนาซิโซ รามอส (รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์)
            - นายเอส ราชารัตนัม (รัฐมนตรีต่างประเทศสิงค์โปร์)
            - พันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย)

           ทั้งนี้ ในเวลาต่อมาได้มีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นสมาชิกเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม (เป็นสมาชิกเมื่อ 8 มกราคม พ .ศ.2527) เวียดนาม (เป็นสมาชิกเมื่อ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) ประเทศลาว, ประเทศพม่า (เป็นสมาชิกเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ .2540) และประเทศกัมพูชา (เป็นสมาชิกเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2542) ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีสมาชิกอาเซียนทั้งหมด 10 ประเทศ


วัตถุประสงค์ของการก่อตั้งอาเซียน

          วัตถุประสงค์ของการก่อตั้งอาเซียน คือ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาค ธำรงไว้ซึ่ง สันติภาพเสถียรภาพ และความมั่นคงทางการเมือง สร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคม และ วัฒนธรรมการกินดีอยู่ดีของประชาชนบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก โดยแบ่งออก เป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้

        1. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร

        2. เพื่อส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค

        3. เพื่อเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและพัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค

        4. เพื่อเสริมสร้างให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี

        5. เพื่อให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในรูปแบบของการฝึกอบรมและการวิจัยและส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

        6. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม

        7. เพื่อส่งเสริมความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอก องค์การความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่นๆ และองค์การระหว่างประเทศ
ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน


สัญลักษณ์ของอาเซียน 

         สัญลักษณ์ของอาเซียนนั้น เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้มานานตั้งแต่ก่อตั้ง ประกอบไปด้วยรูปรวงข้างสีเหลืองจำนวน 10 ต้น บน พื้นสีแดงล้อมรอบด้วยวงกลมสีขาวและสีน้ำเงิน โดยมีความหมายว่าดังนี้...

         รวงข้าว 10 ต้น หมายถึง ประเทศสมาชิก 10 ประเทศ

         สีเหลือง  หมายถึง  ความเจริญรุ่งเรือง

         สีแดง  หมายถึง  ความกล้าหาญและการมีพลวัติ

         สีขาว  หมายถึง  ความบริสุทธิ์

         สีน้ำเงิน  หมายถึง  สันติภาพและความมั่นคง
                     
   รู้จัก ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน ทั้งหมดคลิกเลย

กฎบัตรอาเซียน

            กฎบัตรอาเซียน หรือ ASEAN Charter เรียกง่าย ๆ ก็คือ ธรรมนูญของอาเซียนที่จะวางกรอบทางกฎหมาย และโครง สร้างองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียนให้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะวัตถุประสงค์ใหญ่ ในปี พ.ศ.2558 ที่ทั้ง 10 ประเทศจะจับมือกันขับเคลื่อนเพื่อเป็นประชาคมอาเซียน

         อย่างไรก็ตาม กฎบัตรอาเซียนดังกล่าว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2551หลังจากที่ประเทศสมาชิกครบทั้ง 10 ประเทศ ได้ให้สัตยาบันกฎบัตร และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม พ.ศ.2552 ที่จังหวัดเพชรบุรีเป็นการประชุมระดับผู้นำอาเซียนครั้งแรกหลังจากกฎบัตรมีผลบังคับใช้

ประชาคมอาเซียน


        ประชาคมอาเซียนประกอบด้วยความร่วมมือ 3 เสาหลัก คือ

         ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community–APSC)

         ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community–AEC)

         ประชาคมสังคมและวัฒนธรรม (ASEAN Socio-Cultural Community–ASCC)

 1. ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community – APSC)


           มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค เพื่อให้ประเทศในภูมิภาคอยู่ร่วมกัน อย่างสันติสุข และสามารถแก้ไขปัญหาและความขัดแย้ง โดยสันติวิธี อาเซียนจึงได้จัดทำแผนงานการจัดตั้งประชาคมการเมือง และความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community Blueprint) โดยเน้นใน 3 ประการ คือ
          1.การมีกฎเกณฑ์และค่านิยมร่วมกัน ครอบคลุมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะร่วมกันทำเพื่อสร้างความเข้าใจในระบบสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่แตกต่างของประเทศสมาชิก ส่งเสริมพัฒนาการทางการเมืองไปในทิศทางเดียวกัน เช่น หลักการ ประชาธิปไตย การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม การต่อต้านการทุจริต การส่งเสริมหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาล เป็นต้น

          2.ส่งเสริมความสงบสุขและรับผิดชอบร่วมกันในการรักษาความมั่นคงสำหรับประชาชนที่ครอบคลุมในทุกด้านครอบ คลุมความร่วมมือ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในรูปแบบเดิม มาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและการระงับข้อพิพาท โดยสันติ เพื่อป้องกันสงครามและให้ประเทศสมาชิกอาเซียนอยู่ด้วยกัน โดยสงบสุขและไม่มีความหวาดระแวง และขยายความร่วมมือเพื่อ ต่อต้านภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น การต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและจัดการภัยพิบัติและภัยธรรมชาติ

          3.การมีพลวัตและปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก เพื่อเสริมสร้างบทบาทของอาเซียนในความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น  กรอบอาเซียน+3 กับจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ตลอดจนความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับมิตรประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ

 2. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Political-Security Community-AEC)

          มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้อาเซียนมีตลาดและฐานการผลิตเดียวกันและมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน  เงินทุน  และแรงงานมีฝีมืออย่างเสรี อาเซียนได้จัดทำแผนงาน การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community  Blueprint) ซึ่งเป็นแผนงานบูรณาการการดำเนินงานในด้านเศรษฐกิจเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ 4 ด้าน คือ

         1.การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว (single market and production base) โดยจะมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานมีฝีมืออย่างเสรี และการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรีมากขึ้น

         2.การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน โดยให้ความสำคัญกับประเด็นนโยบายที่จะช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบายการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายภาษี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (การเงิน การขนส่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ และพลังงาน)

         3.การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค ให้มีการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการเสริมสร้างขีดความสามารถผ่านโครงการต่าง ๆ

         4.การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก เน้นการปรับประสานนโยบายเศรษฐกิจของอาเซียนกับประเทศภายนอกภูมิภาคเพื่อให้อาเซียนมีท่าทีร่วมกันอย่างชัดเจน

 3. ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community – ASCC) 

          อาเซียนได้ตั้งเป้าเป็นประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี 2558 โดยมุ่งหวังเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีสังคมที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและมีการพัฒนาในทุกด้านเพื่อยกระดับคุณภาพ ชีวิตของประชาชน ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมอัตลักษณ์อาเซียน (ASEAN Identity) เพื่อรองรับการเป็นประชาคมสังคม และวัฒนธรรมอาเซียน โดยได้จัดทำแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community Blueprint)ซึ่งประกอบด้วยความร่วมมือใน 6 ด้าน ได้แก่

      1.การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

      2.การคุ้มครองและสวัสดิการสังคม

      3.สิทธิและความยุติธรรมทางสังคม

      4.ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

      5.การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน

      6.การลดช่องว่างทางการพัฒนา

          ทั้งนี้โดยมีกลไกการดำเนินงาน ได้แก่ การประชุมรายสาขาระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส และระดับรัฐมนตรีและคณะมนตรีประชาคม สังคมและวัฒนธรรมอาเซียน

ประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN Member States)

ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน


 เนการาบรูไนดารุสซาลาม : Negara Brunei Darussalam
         การปกครอง : สมบูรณาญาสิทธิราชย์

         ประมุข : สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาเลาะห์

         เมืองหลวง : บันดาร์เสรีเบกาวัน

         ภาษาราชการ : ภาษามาเลย์, ภาษาอาหรับ

         หน่วยเงินตรา : บรูไนดอลลาร์

         เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mofat.gov.bn
ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน
 
 ราชอาณาจักรกัมพูชา : Kingom of Cambodia

         การปกครอง : ระบอบประชาธิปไตย

         ประมุข : พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี

         เมืองหลวง : กรุงพนมเปญ

         ภาษาราชการ : ภาษาเขมร

         หน่วยเงินตรา : เรียล

         เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mfaic.gov.kh

ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน

 สาธารณรัฐอินโดนีเซีย : Republic of Indonesia

         การปกครอง : ระบอบสาธารณรัฐแบบประชาธิปไตย

         ประมุข : พลโทซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน

         เมืองหลวง : กรุงจาการ์ตา

         ภาษาราชการ : ภาษาบาร์ฮาซา, ภาษาอินโดนีเซีย

         หน่วยเงินตรา : รูเปียห์

         เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.kemlu.go.id
 
ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน

 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว : The Loa People's Democratic Republic

         การปกครอง : ระบอบสังคมนิยม

         ประมุข : พลโทจูมมะลี ไซยะสอน

         เมืองหลวง : นครหลวงเวียงจันทน์

         ภาษาราชการ : ภาษาลาว

         หน่วยเงินตรา : กีบ

         เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mofa.gov.la
 
ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน

 มาเลเซีย : Malaysia
         การปกครอง : สหพันธรัฐ โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีเป็นประมุข

         ประมุข : สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านตวนกู อับดุล ฮาลิม มูอัซซอม ซาร์

         เมืองหลวง : กรุงกัวลาลัมเปอร์

         ภาษาราชการ : ภาษามาเลย์

         หน่วยเงินตรา : ริงกิต

         เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.kln.gov.my
ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน


 สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ : Republic of the Union of the Myanmar

         การปกครอง : ระบบประธานาธิบดี

         ประมุข : พลเอกเต็ง เส่ง

         เมืองหลวง : นครเนปิดอร์

         ภาษาราชการ : ภาษาพม่า

         หน่วยเงินตรา : จั๊ต

         เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mofa.gov.mm

ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน

 สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ : Republic of the Philippine

         การปกครอง : สาธารณรัฐเดี่ยวระบบประธานาธิบดี

         ประมุข : เบนิกโน อากีโน ที่ 3

         เมืองหลวง : กรุงมะลิลา

         ภาษาราชการ : ภาษาตากาล๊อก, ภาษาอังกฤษ

        หน่วยเงินตรา : เปโซ

        เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.dfa.gov.ph

ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน


 สาธารณรัฐสิงคโปร์ : Republic of Singapore

         การปกครอง : ระบบสาธารณรัฐแบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุข

         ประมุข : โทนี ตัน เค็ง ยัม

         เมืองหลวง : สิงคโปร์

         ภาษาราชการ : ภาษาอังกฤษ, ภาษาจีนกลาง, ภาษามาเลย์, ภาษาทมิฬ

         หน่วยเงินตรา : ดอลล่าร์สิงคโปร์

         เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mfa.gov.sg
ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน
 ราชอาณาจักรไทย : Kingdom of Thailand
         การปกครอง : ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

         ประมุข : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

         เมืองหลวง : กรุงเทพมหานคร

         ภาษาราชการ : ภาษาไทย

         หน่วยเงินตรา : บาท

         เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mfa.go.th
ธงอาเซียน และสัญลักษณ์ของอาเซียน
 สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม : Socialist Republic of Vietnam

         การปกครอง : ระบอบสังคมนิยมเวียดนาม

         ประมุข : เจือง เติ๋น ซาง

         เมืองหลวง : กรุงฮานอย

         ภาษาราชการ : ภาษาเวียดนาม

         หน่วยเงินตรา : ด่อง

         เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ : www.mofa.gov.vn

คำขวัญอาเซียน

          The motto of ASEAN is "One Vision, One Identity, One Community."

คำขวัญอาเซียน "หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม"
เพลงประจำอาเซียน

           "The ASEAN Way"


           เป็นผลงานจากประเทศไทยที่ชนะเลิศจากการแข่งขันระดับภูมิภาคอาเซียน ประพันธ์โดย นายกิตติคุณ สดประเสริฐ (ทำนอง และ เรียบเรียง) ได้เริ่มใช้บรรเลงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์  2552 ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 

กฎบัตรอาเซียน ... ข้อตกลงร่วมกันของประชาคมอาเซียน

ประเทศไทยกับอาเซียน
       
          ตลอดระยะเวลา 45 ปีที่ผ่านมา ที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมอาเซียน ทางไทยได้ประโยชน์หลายประการจากอาเซียน ทั้งในแง่การเสริมสร้างความมั่นคงซึ่งช่วยเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยไทยเป็นฝ่ายได้ ดุลมาตลอด ประกอบกับการขยายความร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เส้นทางคมนาคม ระบบไฟฟ้า โครงข่าย อินเทอร์เน็ต ฯลฯ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้กับไทย นอกจากนี้อาเซียนยังเป็นแหล่งเงินทุนและเป้าหมายการลงทุนของไทย ซึ่งไทยจะได้เปรียบประเทศสมาชิกอื่นเพราะมีที่ตั้งอยู่ใจ กลางอาเซียน สามารถเป็นศูนย์กลางทางการคมนาคมและขนส่งในภูมิภาค
          
          สำหรับในอนาคต คนไทยจะได้รับประโยชน์จากการรวมตัวเป็นประชาคมของอาเซียนมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับการเตรียม ความพร้อมของรัฐบาล ซึ่งทางรัฐบาลต้องสร้างความตื่นตัวและให้ความรู้กับประชาชน เพื่อให้ตระหนักถึงโอกาสและเสริม สร้างความสามารถในการแข่งขันซึ่งจะช่วยให้คนไทยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันไม่ให้เกิดผล กระทบในทางลบแก่ภาคส่วนต่าง ๆ